หากเป็นเกมฟุตบอลในเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น ค่าพลังของนักเตะแต่ละคนจะพอบอกได้ว่าพวกเขาเล่นตำแหน่งไหน ทำหน้าที่อะไรเป็นหลัก ด้วยค่าพลังที่แบ่งกันชัดเจนว่าใครสายรุก คนไหนสายรับ
แต่ถ้าย้อนกลับไปสัก 30 ปีก่อน หากเกมฟุตบอลแบบยุคสมัยนี้มีตั้งแต่ตอนนั้น โลธ่าร์ มัทเธอุส ตำนานนักเตะทีมชาติเยอรมันคงมีค่าพลังที่ลึกลับซับซ้อนที่สุดคนหนึ่ง ยากที่ใครจะบอกได้ว่าเขาเล่นตำแหน่งไหนกันแน่หากไม่ใช่คนที่ติดตามฟุตบอลมาก่อน
นี่คือเรื่องราวความแตกต่างหนึ่งเดียวของยุคสมัย ชายผู้ได้ฉายาว่า “ลิเบโร่คนสุดท้าย” ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่นี่
เยอรมัน 2 ฝั่ง
โลธาร์ มัทเธอุส ลืมตาดูโลกเมื่อปี 1961 และตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดในประเทศของเขา “เยอรมัน”
ณ เวลานั้น เยอรมันยังคงแบ่งเป็น 2 ฝั่ง สหภาพโซเวียตคุมเยอรมันและเบอร์ลินฝั่งตะวันออก ปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาดูแลเยอรมันและเบอร์ลินฝั่งตะวันตก ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งฝั่ง มัทเธอุส เกิดฝั่งตะวันตก และนั่นทำให้เขาได้เจอกับเส้นทางในอาชีพนักฟุตบอลที่สดใส และง่ายกว่าชีวิตของอีกฝั่งกำแพง
เพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อปี 1945 อันนำมาซึ่งการแยกเยอรมันเป็น 2 ประเทศ รัฐบาลเยอรมันตะวันตก เริ่มทำการบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่ ฟื้นฟูวิทยาการและศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างจริงจัง รวมถึงฟุตบอลด้วย … ฟุตบอลของเยอรมันตะวันตกกลายเป็นมหาอำนาจที่ทั่วโลกต้องหวั่นเกรงเมื่อเผชิญหน้า พวกเขามีรูปแบบการเล่นเฉพาะตัว มีระเบียบวินัยสุดขีด และมีความสมดุลทั้งในด้านความเข้าใจและสภาพร่างกายที่ตอบโจทย์กับสไตล์การเล่นของตัวเอง และทุกอย่างก็เริ่มผลิบานตั้งแต่เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1954 เป็นต้นมา
ต้องยอมรับว่าการถูกแบ่งประเทศเป็น 2 ฝั่ง และอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม เยอรมันตะวันตก จำเป็นจะต้องทำตามธรรมเนียมโลกที่ตกลงไว้ก่อนสงครามจะเริ่ม นั่นคือผู้แพ้ต้องชดใช้ความเสียหายทั้งหมดจากที่ผู้ชนะเสียไปในสงครามครั้งนั้น และเยอรมันตะวันตกต้องทำตามกฎ พวกเขาต้องเสียสิ่งที่เรียกว่า “ค่าปฏิกรรมสงครามโลก” ให้ อังกฤษ, ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา ชาติผู้นำแห่งกลุ่มสัมพันธมิตร นั่นจึงทำให้ เยอรมันตะวันตก ต้องดิ้นรนอย่างมาก รีดขุมกำลังทุกอย่างที่มี เพื่อให้ประเทศตัวเองสามารถชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามโลก ไปพร้อม ๆ กับการสร้างตัวเองให้กลับมาเป็นมหาอำนาจในด้านต่าง ๆ อีกครั้ง
ซึ่งจุดนี้เอง ฟุตบอลเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จากแนวคิดของประชาชนในประเทศ ที่ต้องการถีบตัวเอง ยกระดับ และกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ให้ได้ แม้ว่าจะโดนกดแค่ไหนก็ห้ามยอมแพ้ ซึ่งเรื่องนี้ โลธาร์ มัทเธอุส ที่เกิดมาในยุคหลังแพ้สงครามก็ยอมรับว่ามันมีผลกับเขามากจริง ๆ